พฤติกรรมสังคม (Social behavior)

พฤติกรรมสังคม (Social behavior)
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อสัตว์สปีชีส์เดียวกันมาอยู่รวมกันและมีอันตรกิริยาต่อกัน มี 5 แบบดังนี้
(1) พฤติกรรมการร่วมมือกัน (cooperative behavior) ในการอยู่ร่วมกันบางครั้งสัตว์จะต้องมีการร่วมมือกันเพื่อทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งไม่อาจทำได้โดยลำพัง
(2) พฤติกรรมการต่อสู้ (agonistic behavior) มักเกิดขึ้นเพื่อแย่ง resources บางอย่าง เช่น อาหาร ที่อยู่และคู่ผสมพันธุ์ ฝ่ายชนะจะได้ resources ไปครอบครอง พฤติกรรมการต่อสู้จะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมข่มขู่ (threatening behavior) และพฤติกรรมยอมจำนน (submissive behavior)
(3) การจัดลำดับความสำคัญในสังคม (dominance hierarchies) พบในสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นสังคม การจัดลำดับความสำคัญในสังคมนี้พบได้ทั้งในเพศผู้และเพศเมีย
(4) พฤติกรรมการป้องกันอาณาเขต (territorial behavior) สัตว์บางชนิดมีการสร้างอาณาเขต (territory) ของตัวเองและจะแสดงพฤติกรรมการป้องกันอาณาเขตโดยการขับไล่สปีชีส์เดียวกันที่บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของมัน (**อาณาเขตเป็นบริเวณที่สัตว์ใช้ในการกินอาหาร ผสมพันธุ์และเลี้ยงลูกอ่อน ขนาดของอาณาเขตไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสปีชีส์ หน้าที่ของอาณาเขตและฤดูกาลซึ่งมีผลต่อปริมาณ resources**)
(5) พฤติกรรมการสืบพันธุ์ (reproductive behavior) จะเกี่ยวข้องกับการเกี้ยวพาราสี (courtship) และระบบการผสมพันธุ์ (mating system) สัตว์หลายชนิดมีการเกี้ยวพาราสีก่อนที่จะมีการผสมพันธุ์เกิดขึ้น การเกี้ยวพาราสีเป็นพฤติกรรมที่สลับซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยลำดับขั้นตอนต่างๆที่มีแบบแผนแน่นอน ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สัตว์แต่ละตัวแน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่ศัตรูและมีความพร้อมทางสรีระที่จะผสมพันธุ์ ในบางสปีชีส์จะมีการเลือกคู่ผสมพันธุ์หลังจากมีการเกี้ยวพาราสี การเลือกคู่อาจเกิดจากการเลือกของเพศเมีย (female choice) และ/หรือเกิดจากการแข่งขันระหว่างเพศ ผู้ (male to male competition) โดยมากเพศเมียมักจะเป็นฝ่ายเลือกเพศผู้ เนื่องจากเพศเมียมีการลงทุนมากกว่าเพศผู้ในการผลิตและเลี้ยงดูลูก (parental care) เพศเมียจึงเป็นฝ่ายเลือกเพศผู้ ถ้าเพศผู้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก เพศเมียจะเลือกเพศผู้ที่มีความสามารถสูงในการเลี้ยงดูลูก เพศเมียจะเลือกเพศผู้ที่มีพันธุกรรมดี โดยดูจากการแสดงออกขณะมีการเกี้ยวพาราสี (courtship display) หรือลักษณะเพศขั้นที่สอง (secondary sex characteristics) สัตว์หลายสปีชีส์เพศผู้ 1ตัวจะผสมกับเพศเมียหลายตัว ในกรณีนี้เพศผู้จะเป็นฝ่ายแสดงการเกี้ยวพาราสีและแข่งขันกันเพื่อสร้างความประทับใจให้กับเพศเมีย และบางสปีชีส์เพศผู้ต้องต่อสู้กันเพื่อตัดสินว่าฝ่ายใดจะได้ผสมพันธุ์
ความสัมพันธ์ของคู่ผสมพันธุ์จะแตกต่างกันในสัตว์แต่ละชนิด ซึ่งแบ่งตามระบบการผสมพันธุ์ของสัตว์ได้ 3 แบบคือ
(1) promiscuous เมื่อผสมพันธุ์กันแล้วเพศผู้และเพศเมียไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา
(2) monogamous เพศเมีย 1 ตัวผสมกับเพศผู้ 1 ตัว และคู่ผสมพันธุ์อยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน
(3) polygamous เพศหนึ่งผสมกับอีกเพศหนึ่งหลายตัว ถ้าเพศผู้ 1 ตัวผสมกับเพศเมียหลายตัว เรียกpolygyny ถ้าเพศเมีย 1 ตัวผสมกับเพศผู้หลายตัว เรียกว่า polyandry
* ปัจจัยสำคัญที่ทำ ให้เกิดวิวัฒนาการของระบบการผสมพันธุ์คือความจำเป็นในการเลี้ยงดูลูกอ่อน
*ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อระบบการผสมพันธุ์และการเลี้ยงดูลูกของสัตว์คือความมั่นใจในการเป็นพ่อ (certainty of paternity) ลูกอ่อนที่เกิดหรือไข่ที่วางสามารถบอกได้แน่นอนว่าตัวใดเป็นแม่ แต่ไม่สามารถบอกได้แน่นอนว่าตัวใดเป็นพ่อ สำหรับสัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายใน (internal fertilization) การผสมพันธุ์และการเกิดของลูกไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่าตัวใดเป็นพ่อ ดังนั้นการเลี้ยงดูลูกโดยเพศผู้จึงพบน้อยในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนํ้านม สำหรับสัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายนอก (external fertilization) ความมั่นใจในการเป็นพ่อมีมากกว่า เนื่องจากการปฏิสนธิและการวางไข่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน การดูแลลูกในสัตว์กลุ่มนี้จึงเกิดจากเพศผู้และเพศเมียพอๆกัน การดูแลลูกโดยเพศผู้พบในสัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายในเพียง 7% แต่พบในสัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายนอกถึง 69%


ที่มาของเนื้อหา : บุญเกื้อ วัชรเสถียร.2543.พฤติกรรม.สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2560 จาก http://pirun.ku.ac.th/~fscibov/behavior.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น